ปั่นสองน่อง ท่องถ้ำเลสเตโกดอน ตอนที่ 2/2
ความเดิมตอนที่แล้ว ... http://www.tigersmile.net/2014/07/blog-post_30.html
อรุณสวัสดิ์กับเช้าวันใหม่ 27 กค. 2557 พร้อมข้าวต้มทรงเครื่องสุดยอดความอร่อย ... จากการที่เราแยกพักกัน 3 บ้าน ดังนั้นแต่ละบ้านจะจัดอาหารเลี้ยงแยกกันออกไป
สายแก่ๆ เราพร้อมเดินทางไปพายเรือชมถ้ำสเตโกดอน ที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ ปากทางเข้าจะมีป้ายเล็กๆ บอกไว้ (พิกัด N7.12383 E99.79956) ห่างจาก รร.บ้านคีรีวงไปประมาณ 1.7 กม. ใกล้เขตรอยต่อ จังหวัด ตรัง-สตูล
ทีมงานของทุ่งหว้าโฮมสเตย์ ได้ลำเลียงเรือพร้อมอุปกรณ์ชูชีพไปรอก่อนแล้ว พวกเราก็ตามไปทีหลังด้วยรถยนต์กระบะ
ทางเดินเท้า เมื่อมองย้อนกลับมา
ช่วงนี้กำลังปรับปรุงพื้นที่ปรับทัศนียภาพ เตรียมขึ้นรูปช้างไว้แล้วด้วย ... เริ่มตื่นเต้นแล้วละครับ
นานๆ จะได้มาทีแอคชั่นกันหน่อยเร๊ววววววว ...
เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้อง"ชักรูป"กันสักหน่อย เป็นที่ระทึก
พร้อมแล้วครัช |
ทางทีมงานเขาจัดเรือให้ลำละ 2 ท่าน และฝีพายอีก 1 ท่าน รวมเป็นลำละ 3 คน ... โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น เพราะหลายท่านที่ไปพายเรือเป็น ทางทีมงานน่าจะสอบถามกันก่อนว่าใครต้องการฝีพาย ทั้งนี้เพื่อความผ่อนคลายและเป็นอิสระ ไหนๆ ก็ตั้งใจไปพักผ่อนกัน กอรปกับเส้นทางภายในถ้ำไม่มีจุดเสี่ยงใดๆ เลย ... เพียงจัดทีมงานไว้ดูและเป็นบางจุดก็พอ
เราพายเรือชมภายในถ้ำใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า ไม่นับรวมเวลาเตรียมการก่อนและหลังพาย อีก 1 ชั่วโมง ... ปัญหาที่ตามมาคือปวด"ฉี่"
ขอบคุณภาพจาก อ.แมคฯ |
กล้องมือถือธรรมดาถ่ายได้แค่น้ครับ |
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ "ปวดหลัง" สาเหตุจากที่เรือ 1 ลำ นั่ง 3 คน ทำให้รับน้ำหนักบรรทุกมาก การขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งแทบทำไม่ได้เลย ทำให้เกิดอาการเกร็ง
หากใครพายเองได้ แนะนำให้แจ้งทางทีมงานเขาเลยว่าพายเรือเอง สนุกแลัผ่อนคลายกว่าเยอะเลยครับ
ออกจากถ้ำก็จบภาระกิจ ทางทีมงานเขาจัดเรือหางยาวมารับ ขับผ่านป่าโกงกางอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงไปขึ้นที่ท่าเทียบเรือ"ท่าอ้อย" แล้วนั่งรถยนต์ทีมงานกลับมาที่พักอีกทอดหนึ่ง
สุดท้ายภาพแผนที่พร้อมพิกัด ... http://connect.garmin.com/activity/563940443 ส่วนเส้นทางพายเรือฯ ลากเอาเองเพราะ GPS รับสัญญาณไม่ได้ (เดาเอา) ... เอาเป็นว่าจบแล้วละครับ เนื้อหาสาระคงไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไหร่ ภาพก็ไม่สวย ... ขอบคุณที่ติดตามชม/สวัสดี
ปั่นสองน่อง ท่องถ้ำเลสเตโกดอน ตอนที่ 1/2
เป็นกิจกรรมเล็กๆ ของกลุ่มจักรยานบางส่วนของจังหวัด สตูล, ตรัง, พัทลุง และสงขลา รวมตัวกันได้ ๒๑ คน ,,, มีจาก
- สงขลา ๓ คน มาเริ่มต้นที่นี่ด้วย
- ส่วนพัทลุง ๔ คนและ ตรัง ๑ คน รอที่พิพิธภัณฑ์ช้างฯ อ. ทุ่งหว้า
- ที่เหลือเป็นเพื่อนๆ ใน จ.สตูล
พิกัดร้าน BikeCorner : N6.64393 E100.07348
เส้นทางปั่นจาก Bike corner หน้า รร.คลองขุด ผ่านแยกฉลุง ไปตามถนนทางหลวง 416 ถึงบ้านควนโพธิ์ หลบเข้าสายใน สาย 3009 จนไปออกซอย 4 ถ.4137 เส้นควนกาหลง-ละงู ...
ถึงปากซอย 4 เราพักทานมื้อเช้ากันก่อน
ปั่นไปเรื่อยๆ จนถึง อ.มะนัง จาก 4 แยกมะนัง หลังพักขากันหน่อยหนึ่งก็ไปกันต่อ... ตามเส้นทาง 4010, 5025, 3007 จนบรรจบเส้น 416 อีกครั้งที่บ้านพานวา เรามุ่งตรงไปที่พิพิธภัณฑ์ฯ
พิกัด พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า : N7.09065 E99.76852
คุณณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ (นายกโอเล่) นายกฯอบต.ทุ่งหว้า |
ภายในอาคารติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมจัดแสดงข้อมูลเกื่ยวกับความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ ...
ข้อมูล/รายละเอียดที่ถูกต้อง ท่านผู้อ่านสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้จากเฟชบุกของ ทุ่งหว้า โฮมสเตย์โกดอน หรือที่เฟชบุกส่วนตัวของท่านนายกฯ https://www.facebook.com/narongrit.thu/posts/667352663300271
จากนั้นไปใหว้พระหลวงพ่อแก่นจันทร์ วัดชมพูนิมิตร อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นที่เคารพของชาว อ.ทุ่งหว้า ทราบจากประวัติความเป็นมาคร่าวๆ แล้วน่าทึ่งมาก
พิกัดวัดชมพูนิมิตร : N7.10433 E99.75264
ประวัติหลวงพ่อแก่นจันทน์ วัดชมพูนิมิตร อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ... ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.web-pra.com/Article/Show/523
หลวงพ่อแก่นจันทน์ เป็นพระพุทธรูปที่ ชาวทุ่งหว้าให้ความเคารพนักถือมาเป็นเวลาช้านาน โดยมีประวัติเล่าต่อๆกันมาว่า ชาวบ้านบ้านแหลมแค ตำบลบ้าน ท่าแลหลาอำเภอละงู จังหวัดสตูล ซึ่งอยู่ริมทะเล ไปเจอพระพุทธรูป ๓ องค์ลอยน้ำมา เกยตื้น ที่บ้านแหลมแค โดยพระพุทธรูปองค์ใหญ่ แกะสลักสวยงามมาก และมีพระพุทธรูปองค์ เล็ก อีก ๒ องค์ เข้าใจว่าเป็นพระลูกศิษย์ออกจากวัดปั่นเลยไปหน่อยก็จะเป็นท่าเรือในอดีต ปัจจุบันเป็นท่าเรือของประมงพื้นบ้าน
แต่เนื่องจากว่าชาวบ้านบ้านแหลมแคเป็นชาวอิสลามทั้งหมด จึงส่งข่าวมาบอก นายเทียนยี่ เล่าเซ้ง กับนาย หิ้น โพธิรัตน์ ซึ่งเป็นไทยพุทธ และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวัดชมภูนิมิตร บุคคลทั้งสองจึงชักชวนไทยพุทธชาวทุ่งหว้า จำนวนหนึ่ง เดินเท้าจากอำเภอทุ่งหว้า ไปบ้านแหลมแค และได้อุ้มพระพุทธรูปทั้ง สามองค์ มาไว้ที่ไว้ชมภูนิมิตร ประดิษฐาน เป็นพระประธาน ซึ่งมีเพียง ๓องค์เท่านั้น ขณะเดินทางกลับ เกิดฝนตกหนัก ปรากฏว่า คนอุ้มพระ ไม่เปียกฝน ทำให้ชาวบ้านมีความศรัทธามาก นิยมไปกราบไว้บูชา และบนบานสารกล่าวขอพรเป็นประจำ เมื่อได้ตามที่ขอไว้แล้ว ก็จะนำขนมโค ไปไหว้ เพื่อแก่บน
เมื่อถึงวันออกพรรษา ก็จะมีประเพณีลากพระ โดยทางเรือ ด้วยยังไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร จึงเรียนว่า “พระลาก” เพราะนิยมนำมาลากพระในวันออกพรรษา ต่อมาเมื่อถึงวันสงกรานต์ จะนำพระพุทธรูปดังกล่าวมาสรงน้ำ ปรากกฎว่า เศียรพระซึ่งมีลักษณะเป็นเปลวแหลม เกิดบิ่น ขึ้นมา ชาวบ้านจึงเอาเอาเศียรพระ มาดูกัน ปรากฏว่าผู้รู้ บอกว่า เป็นไม้จันทน์ จึงเรียก “หลวงพ่อแก่นจันทน์” แทน “พระลากตั้งแต่นั้นมา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ คณะกรรมการวัดได้จัดสร้างเหรียญหลวงพ่อแก่นจันทน์ เนื้อทองระฆัง ฝาบาตรเก่า ปางอุ้มบาตร ไว้ให้ลูกหลานชาวทุ่งหว้า และใกล้เคียงไว้บูชา โดยได้นิมนต์เกจิร่วมสมัยมาปลุกเสกเช่นเกจิจากจังหวัด ตรัง สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช มาทำการปลุกเสกตลอดทั้ง 7 วัน 7 คืน จำนวนการสร้างไม่ได้ระบุชัดเจน แต่มีข้อสังเกตว่า น่าจะไม่น้อยกว่า 1000 เหรียญ เนื่องจากพิธี 7 วัน 7 คืน หากทำน้อยไปอาจจะไม่พอแจก เมื่อมีการทำบุญจะเอาเหรียญหลวงพ่อแก่นจันทร์ บรรจุในซองคล้ายๆซองกฐินให้แก่ผู้มาร่วมทำบุญ จากการสอบถามผู้เฒ่าคนแก่ที่อยู่รู้เห็นเหตุการณ์ในสมัยนั้นภายในท้องถิ่น ยืนยันว่ามีการจัดงานใหญโต คนที่มาจากหลายจังหวัดตามที่ระบุไว้ข้างตน เท่าที่ปรากฏการพบเห็นเหรียญหลวงพ่อแก่นจันทร์รุ่นแรก ปี 16 ที่เห็นแขวนขึ้นคอบูชา พบเจอที่จังหวัดพัทลุง อำเภอควนขนุน อำเภอเมือง จังหวัดตรัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดสงขลา อำเภอหาดใหญ่ อำเภอควนเนียง อำเภอระโนด จังหวัดสตูล เกือบทุกอำเภอ ปรากฏว่านาย เฉลียว เชียงทอง ได้นำเหรียญดังกล่าวไปประกวดในงานอนุรักษ์ พระบูชา พระเครื่อง และเหรียญคณาจารย์ ณ หอประชุมกองบังคับการตำรวจภูธร ๑๑ จังหวัดนครศรีธรรมราชในวันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๗ และได้รับรางวัลที่ ๑ ประเภทเหรียญภาคใต้
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อแก่นจันทน์ พุทธบริษัท จึงได้จัดสร้างวิหารหลวงพ่อแก่นจันทน์ เพื่อประดิษฐานหลวงพ่อแก่นจันทน์ และเพื่อเป็นการป้องกันผู้ร้ายมาแอบมาขโมยไป เพราะหลวงพ่อแก่นจันทน์ มีอายุเก่าแก่มาก ป้จจุบันสร้างวิหารเสร็จสิ้นแล้ว และด้วยความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คณะกรรมการจึงขอพระราชทาน ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ฉลองไว้ที่หน้าจั่ววิหารหลวงพ่อ
พิกัด ท่าสุไหง-อุเป : N7.10738 E99.74783
เที่ยงแล้วเริ่มหิว ปั่นย้อนกลับมา มองหาร้านข้าวฯ ... ค่อนข้างจะหายาก ผมวนเข้าไปตลาดนัดเจอแผงค้า"ข้าวหมกไก่" ซื้อมากันเหนียวไว้ก่อน 1 ห่อ แล้วปั่นตามเพื่อนๆ ไปเจอร้าน"ข้าวมันไก่เค่งหน่ำซาง" จึงใช้เป็นที่เติมพลังเที่ยงวันนี้
พิกัด : N7.10412 E99.75477 |
ปั่นย้อนกลับมาที่พักฯ ผ่านหน้า อบต.ทุ่งหว้ากำลังปรับปรุงภูมิทัศน์ จึงแวะถ่ายภาพบันทึกความทรงจำซะหน่อย (พิกัด : N7.09058 E99.76684)
แล้วก็ไปยังที่พักซึ่งเป็นโฮมสเตย์ ที่ ต. คีรีวง พวกเรามาพร้อมกันและพักที่นี่ 21 คน แบ่งเป็น 3 บ้าน 8-7-6 คน/หลัง ตามลำดับ
พิกัด : N7.10840 E99.79925 |
ช่วงบ่ายๆ-เย็น พวกเราบางส่วนไปเล่นน้ำตกธารปลิว พอฉ่ำเย็นอุรา โดยเดินทางด้วยรถยนต์กระบะ ตามถนน 416 แล้วแยกไปตาม 3023 ประมาณ 7 กม. ก็จะถึงน้ำตกธารปลิว (พิกัด : N7.11000 E99.84500)
เป็นน้ำตกที่สวยอีกแห่งหนึ่ง แต่ที่น่าเสียดายว่าถูกทิ้งร้างขาดการดูแลบูรณะ สภาพทางเดินผุพัง มีเพียงร่องรอยสะพานไม่เก่าๆ ประมาณดูแล้วคงไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ แผงร้านขายของที่อยู่คู่กับการท่องเที่ยวแบบไทยๆ ก็ผุพัง
เป็นน้ำตกที่อาจถือได้ว่าอยู่ติดถนนเลย จอดรถยนต์แล้วเดินต่อไปนิดเดียวราวๆ 200 เมตร ก็ได้สัมผัสน้ำตกเย็นๆ แล้ว
กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ คือการร่วมรับประทานอาหารและก็มาร่วมตั้งวงสนทนา เฮฮา ตามประสาคนคอเดียวกัน อาหารว่าเป็นผลไม้ อาหารหลักเป็นข้าว+กับข้าวพื้นบ้าน ซึ่งทางโฮมสเตย์ ได้จัดมาให้พวกเรา (ที่พัก + อาหาร 2 มื้อ ในราคา 380.-/หัว) ... ส่วนกับแกล้วปิ้งๆ ย่างๆ พวกเรารวมเงินกันจัดหามาเอง
... เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวเกินไป ขอจบตอนที่ 1 ไว้ ณ เวลาแห่งความสุขนี้ไว้ก่อน ... ติดตามตอนที่ 2 ได้ที่นี่ ...
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)
1 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น